วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

ความสำคัญของมาตรฐานวิชาชีพครู

มาตรฐานวิชาชีพครู

ความหมายของมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
           มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษ คือ  ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ และคุณภาพ ที่พึงประสงค์ในการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา    ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องประพฤติปฏิบัติตาม  เพื่อให้เกิดคุณภาพในการประกอบวิชาชีพ  สามารถสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่ผู้รับบริการจากวิชาชีพได้ว่าเป็นบริการที่มีคุณภาพ  ตอบสังคมได้ว่าการที่กฎหมายให้ความสำคัญกับวิชาชีพทางการศึกษา    และกำหนดให้เป็นวิชาชีพควบคุม  นั้น เนื่องจากเป็นวิชาชีพที่มีลักษณะเฉพาะ ต้องใช้ความรู้   ทักษะ  และความเชี่ยวชาญในการประกอบวิชาชีพ     ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา  พ.ศ. 2546  มาตรา  49 
กำหนดให้มีมาตรฐานวิชาชีพ 3 ด้าน ประกอบด้วย
          1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ  หมายถึง  ข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะ เข้ามาประกอบวิชาชีพ  จะต้องมีความรู้และมีประสบการณ์วิชาชีพเพียงพอที่จะประกอบวิชาชีพ  จึงจะสามารถขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้  ความสามารถ  และมีประสบการณ์พร้อมที่จะประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้
          2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในวิชาชีพ ให้เกิดผลเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด  พร้อมกับมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง  เพื่อให้เกิดความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ    ทั้งความชำนาญเฉพาะด้านและความชำนาญตามระดับคุณภาพของมาตรฐานการปฏิบัติงาน  หรืออย่างน้อยจะต้องมีการพัฒนาตามเกณฑ์ที่กำหนดว่ามีความรู้  ความสามารถ  และความชำนาญ    เพียงพอที่จะดำรงสถานภาพของการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพต่อไปได้หรือไม่    นั่นก็คือการกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องต่อใบอนุญาตทุกๆ 5 ปี
          3.  มาตรฐานการปฏิบัติตน   หมายถึง   ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประพฤติตนของ ผู้ประกอบวิชาชีพ  โดยมีจรรยาบรรณของวิชาชีพเป็นแนวทางและข้อพึงระวังในการประพฤติปฏิบัติ  เพื่อดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียง  ฐานะ  เกียรติ  และศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ  ตามแบบแผนพฤติกรรม ตามจรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภาจะกำหนดเป็นข้อบังคับต่อไป     หากผู้ประกอบวิชาชีพผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นจนได้รับการร้องเรียนถึงคุรุสภาแล้ว  ผู้นั้นอาจถูกคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพวินิจฉัย  ชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้ 
                   (1)    ยกข้อกล่าวหา  
                   (2)    ตักเตือน   
                   (3)    ภาคทัณฑ์    
                   (4)   พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควร    แต่ไม่เกิน    5    ปี
                   (5)   เพิกถอน
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (มาตรา 54)
           สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสำรวจความคิดเห็น  จัดประชุมสัมมนา  ประชุมเชิงปฏิบัติการ  ประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง  ทั้งด้านการผลิต การพัฒนา  และการประกอบวิชาชีพ  รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ    เพื่อนำมากำหนดเป็นสาระสำคัญของมาตรฐานวิชาชีพ    ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุรุสภาในคราวประชุมครั้งที่  5/2548   วันที่    21  มีนาคม 2548 และที่ประชุมคณะกรรม การคุรุสภาครั้งที่  6/2548  วันที่  18  เมษายน  2548  ได้อนุมัติให้ออกข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลดีต่อผู้รับบริการ อันถือเป็นเป้าหมายหลักของการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้สามารถนำไปใช้ในการประกอบวิชาชีพให้สมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงและได้รับการยอมรับยกย่องจากสังคม
          มาตรฐานวิชาชีพครู
          มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
          มาตรฐานความรู้
          มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภา รับรอง โดยมีความรู้ ดังต่อไปนี้
          1.  ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
          2.  การพัฒนาหลักสูตร
          3.  การจัดการเรียนรู้
          4.  จิตวิทยาสำหรับครู
          5.  การวัดและประเมินผลการศึกษา
          6.  การบริหารจัดการในห้องเรียน  
          7.  การวิจัยทางการศึกษา
          8.  นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
          9.  ความเป็นครู
มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยี
          สาระความรู้
          1) ภาษาไทยสำหรับครู
          2) ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ สำหรับครู  
          3) เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครู
สมรรถนะ
          1) สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาไทย  เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
          2) สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
          3) สามารถใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานทักษะภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นมีการแบ่งทักษะทางภาษาคล้ายคลึงกัน คือ แบ่งเป็น 4 ทักษะ คือ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน
                   - ทักษะการฟัง ครูต้องฟังอย่างมีวิจารณญาณ
                   - ทักษะการพูด นับได้ว่าเป็นทักษะที่มีความสำคัญกับผู้ที่จะประกอบวิชาชีพครูมาก ครูควรพูดชัดถ้อยชัดคำ พูดถูกหลักภาษา ในภาษาไทยก็ต้องพูดเสียงควบกล้ำต่างๆชัดเจน
                   - ทักษะการอ่าน ครูต้องมีการขวนขวายในการอ่านเนื้อหาสาระเพิ่มเติมอยู่เสมอ
                   - ทักษะการเขียน ครูต้องมีทักษะในการใช้กระดาน เวลาเขียนกระดานลำตัวจะต้องไม่บังเด็ก และต้องฝึกการเขียนให้มีความสวยงามและเขียนคำศัพท์ต่างๆอย่างถูกต้องด้วย
          นอกจากนี้ในเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ครูจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษามือ และอักษรเบลล์ เพื่อจะสามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้ และครูต้องเป็นผู้แนะแนวและเป็นผู้วิจัยไปพร้อมๆกันเพื่อพัฒนาพัฒนาการของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ
          สำหรับเทคโนโลยีนั้นจะนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการด้านการสอนของครู เพื่อให้การสอนในห้องเรียนเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ครูจึงจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีด้วย เพื่อที่จะนำมาใช้ทำสื่อประกอบการสอน เพื่อที่จะให้เด็กเกิดความรู้อย่างเต็มศักยภาพ
มาตรฐานที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร
          หลักสูตร : กรอบการทำการจัดการเรียนการสอน  สามารถแบ่งหลักสูตรออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ หลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษา
          หลักสูตรแกนกลาง : เป็นตัวกำหนดว่าเด็กจะต้องมีการเรียนรู้อะไรบ้าง  หลักสูตรจึงเป็นเหมือนกรอบกำหนดความรู้ที่ควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ โดยจะกำหนดโครงสร้างที่เป็นสาระการเรียนรู้
หลักสูตรสถานศึกษา : สถานศึกษาต้องนำโครงสร้างของหลักสูตรแกนกลางไปจัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษา โดยคำนึงถึงสภาพปัญหา ความพร้อม เอกลักษณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
          นอกจากนี้สถานศึกษาสามารถจัดทำสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการ และความแตกต่างระหว่างบุคคล
หลักสูตรแบบต่างๆ
          หลักสูตรรายวิชา (The Subject Curriculum)  โครงสร้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
 หลักสูตรกว้าง (The Broad-Field Curriculum) มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้การเรียนการสอนเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้ดี รวมทั้งให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆ ทุกด้าน
          หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum)
          หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรบังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ จุดเน้นของหลักสูตรจะอยู่ที่วิชาหรืสังคมก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นสังคมโดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคม
          ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์  แนวคิดในการพัฒนานั้นเริ่มต้นจากคำถามพื้นฐาน 4 คำถามดังต่อไปนี้
          1.   จุดมุ่งหมายอะไรบ้างที่สถานศึกษาต้องการ
          2.   ประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่สามารถจัดได้และสนองตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
          3.   ประสบการณ์ทางการศึกษาเหล่านั้นจะจัดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
          4.   จะประเมินได้อย่างไรว่าประสบการณ์การศึกษาที่จัดให้นั้นได้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนด โดยมีรูปแบบการพัฒนามี 3 ขั้นตอน คือ
                   1. กำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
                   2. การเลือกประสบการณ์การเรียน : จัดลำดับ ก่อน-หลัง
                   3. การประเมินผล
          การพัฒนาหลักสูตรนั้น จะต้องมีความสอดคล้องกับสภาพของสังคม พัฒนาการของผู้เรียน ความเหมาะสม มีการบูรณาการของประสบการต่างๆ มีการประเมินผลในขั้นสุดท้าย การพัฒนาจะต้องมีระบบและต้องอาศัยการพัฒนาอย่างจริงจัง
มาตรฐานที่ 3 การจัดการเรียนรู้
             การเรียนรู้ ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์พฤติกรรมของบุคคลที่เกิดจากการ เรียนรู้จะต้องมีลักษณะสำคัญ
          1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจะต้องเปลี่ยนไปอย่างค่อนข้างถาวร จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้ขึ้น หากเป็นการ เปลี่ยนแปลงชั่วคราวก็ยังไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้
          2. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจะต้องเกิดจากการฝึกฝน หรือเคยมีประสบการณ์นั้น ๆ มาก่อน
หลักการจัดการเรียนรู้
          1. เด็กทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
          2. การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดแค่การเรียนในห้องเรียน แต่การเรียนรู้สามารถเกิดได้ในทุกที่
          3. การเรียนรู้ต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
          4. การเรียนรู้ต้องคำนึงว่าเด็กทุกคนย่อมมีความแตกต่างระหว่างบุคคล ต้องเน้นการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อที่จะให้เด็กแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
          5. ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ มีการบูรณาการกับชีวิตประจำวัน
          6. การเรียนรุ้ต้องเกิดความรู้ใหม่
ทฤษฎีการเรียนรู้
          1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theory) การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เป็นการสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า กับการตอบสนอง ทฤษฎีที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้วางเงื่อนไขแบบคลาสสิก หรือแบบสิ่งเร้า
          2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive theory) การเรียนรู้เป็นผลของกระบวนการคิด ความเข้าใจ การรับรู้สิ่งเร้าที่มากระตุ้น ผสมผสานกับประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของบุคคล ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ซึ่งการผสมผสานระหว่าง ประสบการณ์ที่ได้รับในปัจจุบันกับประสบการณ์ในอดีต
เกณฑ์ในการประเมินผล  :  วัดประเมินตามสภาพจริง
มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู
จิตวิทยาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของมนุษย์
ทฤษฎีของพีอาร์เจ มี 4 ระยะคือ
          1. ระยะการรับสัมผัส                                           
          2. ระยะเตรียมการทางสมอง : เหตุผล
          3. ระยะเรียนรู้รูปธรรม : รู้จักเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ            
          4. ระยะเรียนรู้สิ่งที่เป็นมโนธรรม
ทฤษฎีของฟรอยด์  มี 5 ระยะ คือ
          1. ขั้นปาก :เด็กจะมีความสุขอยู่ที่การใช้ปาก
          2. ขั้นทวารหนัก : ความสุขอยู่ที่การใช้ทวารหนัก
          3. ขั้นอวัยวะเพศ : ความสุขอยู่ที่การผูกพันกับพ่อแม่
          4. ขั้นแฝง : ความสุขอยู่ที่การเก็บกดทางเพศ
          5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม : ความสุขอยู่ที่การสนใจเพศตรงข้าม
          จิตวิทยาการศึกษา  เป็นศาสตร์ที่ช่วยให้ครูสามารถนำหลักจิตวิทยาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เข้าใจความแตกต่าระหว่างบุคคล พัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วน 2 ส่วนที่สำคัญ คือ การเรียนรู้และการจูงใจ การจูงใจ จะช่วยในการโน้มน้าวใจให้เขาอยากเรียนมากขึ้น เมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็จะเกิดความรู้สึกอยากที่จะเรียนขึ้นมา ครูก็ต้องพยายามที่จะหาวิธีโน้มน้าวใจ ให้เด็กเกิดการอยากเรียนรู้ให้มากที่สุด อาจแบ่งได้ 3 ระยะ คือ
          1. ระยะความสนใจ          
          2. ระยะความสำเร็จ
          3. ระยะเครื่องล่อใจ
          การแนะแนว หมายถึง การช่วยเหลือบุคคลให้ช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยบุคคลให้เลือกวิธีการแก้ปัญหา สามารถปรับตัวได้ โดยครูจะเป็นเพียงผู้ที่แนะนำเท่านั้น แต่ผู้ที่จะต้องตัดสินใจก็คือตัวเด็กเอง ครูต้องคำนึงเสมอว่าเด็กทุกคนย่อมมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคล ดังนั้นปัญหาที่เกิดกับเด็กแต่ละคนก็ย่อมที่จะแตกต่างกัน ครูก็ต้องช่วยหาทางแก้ไขปัญหาให้กับเด็กในหลายรูปแบบ  เนื่องจากมนุษย์มีลักษณะ ดังนี้
          1. มนุษย์มีความแตกต่างกัน                 
          2. มนุษย์ต้องการความช่วยเหลือ  
          3. พฤติกรรมต่างๆต้องมีสาเหตุ              
          4. มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี
          5. มนุษย์มีคุณค่า                             
          6. ความสุขมาจากการพัฒนาทุกด้าน
ขอบข่าย จิตวิทยาการศึกษา มีดังนี้
          1. จิตวิทยาการศึกษา    
          2. จิตวิทยาการอาชีพ    
          3. จิตวิทยาการแนะแนวสังคม
มาตรฐานที่ 5 การวัดและประเมินผลทางการศึกษา
        การวัดผล หมายถึง กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนคุณลักษณะหรือคุณภาพของสิ่งที่วัด โดยใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพหารายละเอียดสิ่งที่วัดว่ามีจำนวนหรือ
ปริมาณเท่าใด
          การประเมินผล (Evaluation)    เป็นกระบวนการพิจารณาหรือตัดสินคุณค่าของสิ่งของหรือการกระทำ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันได้ และในการตัดสินคุณค่าดังกล่าว มักจะใช้ผลการจากการวัดเป็นข้อมูลพื้นฐานเสมอ
          การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดรวมกับการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมินมาใช้ในการตัดสินใจ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
การประเมินผลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
           1. การประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น ๆ ที่ได้ทำแบบทดสอบเดียวกันหรือได้ทำงานอย่างเดียวกัน
          2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนด
          การวัดและประเมินผลทางการศึกษาจะต้องไม่เน้นการสอบเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะประเมินผลตามสภาพจริง เน้นการปฎิบัติควบคู่กันไปด้วย ไม่ควรที่จะแยกการวัดและการประเมินออกจากกิจกรรมการสอนในชั้นเรียน
          การประเมินผลการเรียนรู้ต้องนำไปสู่ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวผู้เรียนรอบด้าน โดยต้องใช้เครื่องมือที่หลากหลาย และการเลือกใช้เครื่องมือวัดขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการประเมิน 
          1.การประเมินเพื่อวินิจฉัยผู้เรียน  (ก่อนเรียน)  เพื่อค้นหาความพอเพียงของความรู้และความสามารถ
          2  การประเมินเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการเรียนการสอน  (ระหว่างเรียน) มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรลุถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือไม่เพียงใด 
          3  การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน (หลังเรียน)  มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถประยุกต์ความรู้ได้เพียงใด  สมควรผ่านรายวิชานั้นหรือไม่ 
การประเมินแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
          1. Performance Evaluation เป็นการประเมินผู้เรียน โดยวัดตามสภาพจริง โดยอาศัยการปฎิบัติ เกณฑ์ที่ใช้ต้องคำนึงว่าสิ่งที่จะวัดใช้ได้จริง เน้นการวัดแบบปฎิบัติงาน
          2. Summative Evaluation เป็นการประเมินผลรวมสรุป มุ่งที่จะหาข้อมูลข่าวสารเพื่อสรุปว่า  ผู้เรียนมีระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด  ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของครูผู้สอน โดยเฉพาะการให้ระดับคะแนนแก่ผู้เรียนต่อไป  
          3. Formative Evaluation เป็นการประเมินว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ก็อาจจัดให้มีการซ่อมเสริม เป็นต้น
มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการห้องเรียน
          การบริหารจัดการห้องเรียน หมายถึง การจัดการกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย  การวางแผน (planning)  การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่  การนำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การควบคุม เป็นการจัดระเบียบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยครูจะต้องเข้าใจผู้เรียน มีการเตรียมพัฒนาผู้เรียน ใช้สื่อการเรียนที่เหมาะสม มีการเตรียมการประเมิน ครูจะต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้ ต้องมีการเข้าใจว่าผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน แปรความหวังของครูไปเป็นระเบียบกฎเกณฑ์
          การจัดห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องจัดระเบียบ วางแนวการจัดห้องเรียนที่ดี อาศัยการเริ่มต้นในช่วงแรกให้ดี และปฎิบัติอย่างนั้นมาตลอด จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ครูจะต้องจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กมีการเรียนรู้มากที่สุด
          แนวทางการจัดการห้องเรียน ครูต้องกำหนดข้อควรปฏิบัติให้แก่ผู้เรียน  มีการอธิบายรายละเอียดของงานอย่างเป็นระบบ  ครูต้องกำกับดูแลความเรียบร้อยของห้องเรียนให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  และให้เด็กมีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 มาตรฐานที่ 7 การวิจัยทางการศึกษา
          คำว่า "การวิจัย"   ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า  "Research"   Re   มีความหมายว่า  อีก   Search  แปลว่า  "การค้นหา"  ดังนั้นคำว่า "การวิจัย: Research" จึงแปลว่า การค้นหาแล้วค้นหาอีก
ตัวแปร หมายถึง สิ่งที่ผู้วิจัยสนใจที่จะวัดเพื่อให้ได้ข้อมูลออกมาในรูปใดรูปหนึ่ง และคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่สามารถแปรเปลี่ยนค่าได้ เช่น เพศ แปรค่าได้เป็น เพศชายและเพศหญิง      
 ประเภทของตัวแปร 
          ตัวแปรเชิงปริมาณ(Quantitative Variables) เป็นตัวแปรที่แตกต่างกันในระหว่างพวกเดียวกันหรือค่าที่แปรออกมาแตกต่างกันออกไปตามความถี่จำนวนปริมาณมากน้อยหรือลำดับที่
          ตัวแปรเชิงคุณภาพ(Qualitative Variables) เป็นตัวแปร ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันในแง่ของชนิดหรือประเภทโดยใช้ชื่อเป็นภาษาที่แสดงถึงคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ
          ตัวแปรค่าต่อเนื่อง (Continuous Variables) เป็นตัวแปรที่มีค่าต่อเนื่องกันตลอด เช่น ส่วนสูงน้ำหนัก
          ตัวแปรค่าไม่ต่อเนื่อง(Discrete Variables) ตัวแปรประเภทนี้มีค่าเฉพาะตัวของมัน แยกออกจากกันเด็ดขาดวัดค่าเป็นจำนวนเต็ม
          ตัวแปรที่กำหนดได้(Active Variables) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยสามารถกำหนดให้กับผู้รับการทดลองได้เช่น วิธีสอน
          ตัวแปรที่จัดกระทำขึ้นไม่ได้(Attribute of Organismic Variables) เป็นตัวแปรที่ยากจะกำหนดให้ผู้รับการทดลองได้ตัวแปรเหล่านี้เป็นลักษณะของผู้รับการทดลอง
 มาตรฐานที่ 8 เทคโนโลยีและนวัตกรรม
          เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการพัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและใช้ร่วมกับกระบวนการทางการศึกษาจิตวิทยา ให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้
          นวัตกรรม คือ การนำวิธีใหม่ๆมาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลอง หรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว  มี 3 ระยะ คือ
          1.ระยะการคิดค้น (Invention)
          2.ระยะการพัฒนา (Development) 
          3.  ระยะนำมาปฏิบัติจริง
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรม ต้องคำนึงถึง
          1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different)
          2. ความพร้อม (Readiness) 
          3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา
          4. ประสิทธิภาพในการเรียน
ลำดับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มี 9 ระยะ คือ
          1. สร้างกรอบแนวคิด
          2. วิเคราะห์หลักสูตร 
          3. กำหนดวัตถุประสงค์ 
          4. กำหนดคุณลักษณะสื่อการสอน 
          5. การสำรวจทรัพยากรการผลิต
          6. ออกแบบสื่อการสอน
          7. วางแผนและดำเนินการผลิต
          8. ตรวจสอบคุณภาพ
          9. สรุปและประเมินผล
นวัตกรรมในด้านต่างๆ แบ่งนวัตกรรมออก 5 ประเภท คือ
          1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น
          2. นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล
          3. นวัตกรรมสื่อการสอน หมายถึง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม นำมาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ได้แก่
                   - คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
                   - มัลติมีเดีย (Multimedia)
                   - การประชุมทางไกล (Teleconference)
                   - ชุดการสอน (Instructional Module)
                   - วีดิทัศน์แบบมีปฎิสัมพันธ์ (Interactive Video)
          4. นวัตกรรมการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว
          5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ หมายถึง การใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
          E-learning เป็นการเรียนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิค สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ทุกคน ห้องเรียนเสมือนจริง อาศัยสื่ออิเล็คทรอนิก และคอมพิวเตอร์ มี 2 รูปแบบ คือ การศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสื่อมัลติมีเดีย เช่น ข้อความอิเล็คทรอนิก ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว การเรียนรู้มี 3 แบบ คือ
                   1. ผู้สอน-ผู้เรียน          
                   2. ผู้เรียน-ผู้เรียน         
                   3. ผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน
          ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(Independent Variables) เป็นตัวแปรที่จะทำให้เกิดสิ่งอื่นตามมา เป็นตัวแปรที่เป็นเหตุตัวแปรที่มาก่อน 
          ตัวแปรตาม(Dependent Variables) เป็นตัวแปรที่เป็นผลเป็นตัวแปรที่เป็นผลมาจากตัวแปรต้น 
ตัวแปรแทรกซ้อน(Extraneous Variables) เป็นตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรตาม โดยผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นโดยผู้วิจัยต้องพยายามควบคุมตัวแปร
มาตรฐานที่ 9 ความเป็นครู
          ความสำคัญของวิชาชีพครู ครู คือ บุคคลที่สั่งสอนอบรมวิชาความรู้ต่าง ๆ  นอกจากนั้นแล้วครูจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ต่อสุขทุกข์ของศิษย์  ความเจริญก้าวหน้าของศิษย์และคอยปกป้องมิให้ศิษย์กระทำความชั่วต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนั้นครูเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติอย่างยิ่งเพราะครูเป็นทั้งผู้สร้าง  และผู้กำหนดอนาคตของเยาวชน  สังคมและประเทศชาติ  ให้พัฒนาไปในทิศทางที่ต้องการและถูกต้อง
บทบาทและหน้าที่ของครู
          ครูนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติเพราะครูมีหน้าที่ต้องพัฒนาคน   พัฒนาความคิด  พัฒนาความรู้   และพัฒนาคุณธรรม  จริยธรรมให้แก่เยาวชนของชาติ
ดังนั้นจึงได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของครูไว้ดังนี้
          1.  ครูจะต้องเป็นนักวิจัย 
          2.  ครูต้องเป็นนักวิเคราะห์ 
          3.  ครูต้องเป็นนักวิจารณ์ทั้งปัญหาของตนเอง 
          4.  ครูจะต้องมีความสามารถนำคุณค่าของบทเรียนมาเป็นตัวเชื่อมโยงผสมผสานให้เกิดการแก้ไขปัญหาในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
          ภาระงานของครู/อาจารย์ หมายถึง งานในหน้าที่ความรับผิดชอบ กรอบภาระงานของครู/อาจารย์ แบ่งออกเป็น 7 ประเภท คือ
          1. งานการผลิตบัณฑิต / ผู้เรียน
          2. งานวิจัยและสร้างสรรค์วิชาการ
          3. งานบริการทางวิชาการ
          4. งานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
          5. งานกิจการของผู้เรียน
          6. งานบริหารและบริการ
          7. งานเฉพาะกิจ (งานที่สถาบันมอบหมายให้ปฏิบัติ)
          การพัฒนาวิชาชีพของครู หมายถึง  กิจกรรมใด ๆ ในระหว่างการปฏิบัติงานของครู  ทั้งที่เป็นไปตามแผนหรือครูริเริ่มเอง  ในการปรับปรุงความรู้  ทักษะและเจตคติที่มีเป้าหมาย  เพื่อให้ครูมีพัฒนาการทางวิชาชีพ
คุณลักษณะที่ดีของครู
          1. ความมีระเบียบวินัย ความประพฤติ ทั้งทางกายและวาจาและใจ 
          2. ความซื่อสัตย์สุจริต การประพฤติที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
          3. ความขยัน ประหยัด  และยึดมั่นในสัมมาอาชีพ ความประพฤติที่ไม่ทำให้เสียเวลาชีวิตและปฏิบัติกิจอันควรกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม 
          4. ความสำนึกในหน้าที่และการงาน ความประพฤติที่ไม่เอาเปรียบสังคม
          5. ความเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม วิจารณ์และตัดสินอย่างมีเหตุผล  ความประพฤติในลักษณะสร้างสรรค์และปรับปรุงมีเหตุมีผลในการทำหน้าที่การงาน
          6. ความกระตือรือร้นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีความรักและเทิดทูน ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ความประพฤติที่สนับสนุนและให้ความร่วมมือไม่ไว้วานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยไม่จำเป็น
          7. ความเป็นผู้มีพลานามัยที่สมบูรณ์   ทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ความมั่นคงและจิตใจ ให้สมบูรณ์
มีอารมณ์แจ่มใสมีธรรมะอยู่ในจิตใจอย่างมั่นคง
          8. ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และมีอุดมคติเป็นที่พึ่งความประพฤติที่แสดงออกถึงความแบ่งปัน เกื้อกูลผู้อื่น 
          9. ความภาคภูมิและการรู้จักทำนุบำรุง ศิลปะ วัฒนธรรม     และทรัพยากรของชาติ ความประพฤติที่แสดงออกซึ่งศิลปะและวัฒนธรรมแบบไทย ๆ มีความรักและหวงแหนวัฒนธรรมของตนเองและทรัพยากรของชาติ
          10. ความเสียสละ และเมตตาอารี กตัญญูกตเวที กล้าหาญ และความสามัคคี
การสร้างทัศนคติที่ดีต่ออาชีพครู
          เจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครู  อาจครอบคลุมถึงความรู้สึกหรือมีศรัทธาต่องานการสอนและ     กิจกรรมที่ทำการสร้างสมรรถภาพความเป็นครู
          1. ปฏิบัติตนและพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี  ความถูกต้อง  และความชอบธรรม
          2. พัฒนาตนให้เป็นผู้มีความรู้  ความสามารถ  และความชำนาญในการปฏิบัติงาน  มีความคิดที่ทันสมัย  และรู้จักปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
          1. ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ
          2. ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียน
          3. มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
          4. พัฒนาแผนการสอนให้มีสามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง
          5. พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
          6. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน
          7. รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ
          8. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน
          9. ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์
          10. ร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน
          11. แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา
          12. สร้างโอกาสในการพัฒนาผู้เรียนได้ทุกสถานการณ์

ที่มา: http://chananchidapresent1.blogspot.com/2013/04/blog-post.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น